- 28 ส.ค. 2560
สุดสลด! ถลกหนังช้างทั้งเป็น ทำยาเครื่องประดับ สินค้าใหม่ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่
ช้างแอฟริกา ทางการก็จะสามารถตรวจสอบกับฐานข้อมูลและจับกุมดำเนินคดีได้ง่ายขึ้น
ยังไม่มีใครตอบได้การจดทะเบียนครอบครองงาช้างบ้านจะช่วยลดการลักลอบค้างาช้างในบ้านเราได้มากน้อยเพียงใด เพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าแม้การลงทะเบียนงาช้างและผลิตภัณฑ์งาช้างจะเสร็จสิ้นลงเมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา แต่ยังมีข่าวการจับกุมการลักลอบนำเข้างาช้างอยู่เนืองๆ ล่าสุดเมื่อ 27 เมษายนนี้มีกรมศุลกากรจับกุมงาช้างครั้งใหญ่ได้ถึง 511 กิ่ง มูลค่าสูง 200 ล้านบาท ขณะที่ 3 เดือนแรกของปี 2558 ไทยสามารถจับกุมงาช้างได้กว่า 1,302 ชิ้น น้ำหนักรวมกว่า 2,000 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 205 ล้านบาท ส่วนในปี 2557 กรมศุลกากรจับกุมงาช้างได้ 11 คดี รวมประมาณ 50 ชิ้น น้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท
การค้างาช้างเป็นกระบวนการข้ามชาติที่ไม่สามารถแก้ปัญหาให้ลุล่วงได้โดยประเทศใดประเทศหนึ่ง ย้อนกลับไปดูในช่วงปีสองปีที่ผ่านมาจะเห็นความเคลื่อนไหวระดับสากลในการสะกัดกั้นการค้างาช้างผิดกฏหมายอย่างต่อเนื่อง แนวทางที่หลายประเทศนำมาใช้คือการทำลายงาช้างที่จับกุมได้ เพื่อไม่ให้งาช้างเหล่านี้หลุดเข้าสู่วงจรการค้าอีกครั้ง
พฤศจิกายน 2556 สหรัฐอเมริกาทำลายงาช้างของกลางจำนวน 6 ตันด้วยวิธีการบดจนละเอียด จากนั้นนำผงงาช้างที่บดละเอียดไปสร้างอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงช้างที่ถูกฆ่าตาย ซึ่งทางการผู้รับผิดชอบบอกว่าเป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์เพื่อบอกผู้ค้างาช้างว่า “ฉันจะเอาจริงแล้วนะ”
มกราคม 2557 เมืองกังซู กวางตุ้ง ประเทศจีนบดทำลายงาช้างแท่งและงาช้างแกะสลักจำนวน 6.1 ตัน
กุมภาพันธ์ 2557 ฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกของยุโรปที่ทำลายงาช้างจำนวน 3 ตัน โดยจัดพิธีขึ้นที่บริเวณหอไอเฟล ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ โดยเชิญบุคคลสำคัญของโลก เช่น เจ้าฟ้า
ชายชาลส์แห่งอังกฤษ และผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังเดวิด แคเมรอนมาเป็นสักขีพยาน
พฤษภาคม 2557 ฮ่องกงเริ่มต้นทำลายงาช้าง 1 ตันจากจำนวนที่ต้องทำลายทั้งสิ้น 30 ตัน นับเป็นทำลายงาช้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ด้วยวิธีบดให้ละเอียดแล้วนำไปเข้าเตาเผาความร้อนสูงจนกลายเป็นเถ้าถ่าน งาช้างเหล่านี้ถูกจับกุมได้ตั้งแต่ปี 2546 ส่วนใหญ่มีต้นทางมาจากทวีปแอฟริกา
10 มีนาคม 2558 เคนยาประเทศต้นทางงาช้างเผางาช้างที่จับกุมได้ภายใน 1 ปี จำนวน 15 ตัน
ในบ้านเรายังไม่มีเคยมีการเผาทำลายงาช้างมาก่อน แม้มีความพยายามขอมติคณะรัฐมนตรีให้เผางาช้างของกลางที่ชำรุด จำนวน 5,000 กิโลกรัม แต่เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2557 คณะรัฐมนตรีมีมติไม่เห็นชอบ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงเตรียมเสนอเรื่องเข้าไปสู่คณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ปัจจุบันมีงาช้างของกลางในสังกัดกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืชประมาณ 5,000 กิโลกรัม และกรมศุลกากรจำนวนกว่า 7,000 กิโลกรัม รวม 1.2 หมื่นกิโลกรัมหรือ 12ตัน มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท โดยปัจจุบันงาช้างขายกันในตลาดมืดกิโลกรัมละ 30,000-50,000 บาท
ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งมองว่าการทำลายงาช้างของกลางจะช่วยลดปริมาณงาช้างที่จะเข้าสู่วงจรการค้างาช้าง แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งเห็นแย้งว่ายิ่งลดปริมาณลง งาช้างยิ่งเป็นของหายากราคาแพง ซึ่งจะกระตุ้นให้มีการลักลอบตัดงาและฆ่าช้างมากยิ่งขึ้น
ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่านโยบายใดดีที่สุดจนกว่าจะลองดู บางครั้งนโยบายดีแต่การปฏิบัติและบังคับใช้ไม่มีประสิทธิภาพ คงเป็นเช่นเดียวกับการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพรรณพืชหายากอื่นๆ ที่การปราบปรามอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะจุดเริ่มต้นความต้องการสินค้ามาจากความเชื่อที่สั่งสมมาจากรุ่นสู่รุ่น เช่น การกินชิ้นส่วนเสือช่วยเสริมพลัง การกินหูฉลามบำรุงร่างกาย ดังนั้นการตัดวงจรการค้าพืชและสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ที่ได้ผลดีที่สุดก็คือการเปลี่ยนแปลงความเชื่อเดิมหรือสร้างชุดความคิดใหม่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ว่าการกินใช้ชิ้นส่วนของพืชและสัตว์หายากคืออาชญากรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องยากแต่ควรค่าแก่ความพยายามเพราะจะส่งผลในระยะยาวสู่คนรุ่นต่อไป
ขอบคุณที่มาเพือนพิทักป่าไทย