ไม่เจอรถเมล์ควันดำ กทม. สุ่มตรวจ13คัน อู่ ขสมก.บางเขน ไม่เกินค่ามาตรฐาน

28 ม.ค. 68  กทม. ลุยตรวจรถเมล์ควันดำ อู่บางเขน โดย นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ร่วมกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สุ่มตรวจกวดขันตรวจวัดมลพิษควันดำจากปลายท่อไอเสียรถเมล์ขสมก.โดยสารสาธารณะ บริเวณเขตการเดินรถที่ 1 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) อู่บางเขน เขตบางเขน

 

ตามมาตรการควบคุมกำกับดูแลและแก้ไขปัญหามลพิษในอากาศที่เกิดจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดยวันนี้ทำการสุ่มตรวจควันดำจากปลายท่อไอเสียรถเมล์โดยสารสาธารณะ จำนวน 13 คัน พบมีค่าควันดำระหว่าง 3 – 27% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ค่ามาตรฐานทุกคัน (ความทึบแสงไม่เกิน 30%) 

นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่ว่า กรุงเทพมหานครได้สุ่มตรวจแหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 ไม่ใช่แค่หน้าฝุ่น แต่ทำมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เป็นการตรวจอยู่ริมถนนแต่เป็นการเข้าไปตรวจที่แหล่งกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นอู่รถเมล์ หรือตามไซต์ก่อสร้าง สถานประกอบการ ที่ผ่านมาตั้งแต่ปลายปี 2565 กทม.ได้ตรวจรถควันดำแล้วกว่า 260,000 คัน รวมถึงตรวจรถบรรทุกตามไซต์ก่อสร้างประมาณ 5,000 คัน

 

โดย กทม.อยากขอการสนับสนุนจากรัฐบาล 3 เรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ กทม.ยังขาดอำนาจในการจัดการอยู่ ประกอบด้วย เรื่องแรก ให้ กทม. มีอำนาจในการตรวจรถเกิน 4 ล้อ หรือ 6 ล้อขึ้นไป ตาม พ.ร.บ.ขนส่งทางบกฯ

เนื่องจากที่ผ่านมากทม. ทำงานตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 กรณีไปตรวจรถเมล์ จะเป็นการขอความร่วมมือ ไม่สามารถจับได้ ไม่สามารถฉีดพ่น ห้ามใช้รถได้ทันที เพราะเป็นอำนาจตาม พ.ร.บ.ขนส่ง ที่กรมขนส่งทางบกเป็นเจ้าพนักงาน ซึ่งกทม. อยากมีอำนาจในการทำงานตรงนี้ เนื่องจากมีแผนที่จะตรวจรถเมล์ หรือรถ 6 ล้อขึ้นไปให้มากขึ้น 

• เรื่องที่ 2 ให้พิจารณาลดค่าความทึบแสงของการตรวจรถยนต์ควันดำ ภายใต้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จาก 30 % เป็น 10% ทำให้บางครั้งเมื่อตรวจจะเห็นว่ามีควันเยอะ แต่ยังผ่านเกณฑ์เพราะเกณฑ์ค่อนข้างสูง หรือขอให้ท้องถิ่นกำหนดเอง 

 

• เรื่องสุดท้าย คือเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการจัดการกับรถควันดำ จากเดิมเมื่อตรวจเจอรถยนต์ 4 ล้อ กระทำความผิดควันดำเกินค่ามาตรฐาน จะให้เวลาผู้กระทำผิดแก้ไขปรับปรุงรถ จาก 30 วัน ซึ่ง กทม. มองว่าเป็นมาตรการที่ยังไม่แข็งพอ โดยขอให้ลดมาเหลือแค่ 5 วัน เพื่อจะได้เร่งรัดให้เจ้าของรถรีบดำเนินการแก้ไข ไม่ต้องวิ่งอยู่ในเมืองสร้างมลพิษเพิ่ม