- 07 เม.ย. 2568
"หมอเจด" เตือน แสบท้อง เรอบ่อย จุกแน่นกลางอก ต้องระวัง! อาจเป็นสัญญาณของ "กรดไหลย้อน" เสี่ยงถึงขั้นมะเร็งหลอดอาหาร
เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 68 ทางด้าน นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เจ้าของเพจ หมอเจด ออกมาเตือนเกี่ยวกับสุขภาพระบุว่า... "แค่แสบท้อง? ระวัง! กรดไหลย้อนเสี่ยงมะเร็ง!"
หลายคนอาจเคยมีอาการ "แสบหน้าอก เรอบ่อย จุกแน่นกลางอก" แล้วคิดว่าแค่กินรสจัด นอนดึก หรือเครียดมากไป แต่รู้มั้ยว่านี่อาจเป็นสัญญาณของ "กรดไหลย้อน" ที่ถ้าปล่อยไว้เรื้อรัง เสี่ยงถึงขั้นมะเร็งหลอดอาหารเลยทีเดียว วันนี้ลยอยากมาเล่าให้ฟังนะ ว่า กรดไหลย้อนจริงๆ แล้วมีทั้งหมด 4 ระยะ แต่ระยะมีอาการยังไง จะได้รีบป้องกันไว้ก่อนเป็นมะเร็ง
1. กรดไหลย้อนคืออะไร? ทำไมใครๆ ก็เป็น
ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนนะว่า กรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD) คือภาวะที่กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร โดยปกติแล้วในร่างกายเราจะมี "กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง" (Lower Esophageal Sphincter) ทำหน้าที่เหมือนประตูปิดระหว่างกระเพาะกับหลอดอาหาร แต่ถ้ากล้ามเนื้อนี้อ่อนแรงหรือเปิดบ่อยเกินไป กรดก็จะไหลย้อนขึ้นมาได้
สาเหตุมีหลายอย่าง เช่น
- กินแล้วนอนทันที
- น้ำหนักเกิน/อ้วนลงพุง
- ดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ หรือเครื่องดื่มมีคาเฟอีน
- ความเครียดและพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม
อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- แสบร้อนกลางอก
- เรอบ่อย รู้สึกขมในปาก
- จุกแน่น คล้ายอาหารไม่ย่อย
- เสียงแหบ ไอเรื้อรัง เจ็บคอเรื้อรัง
2. กรดไหลย้อน 4 ระยะ แยกยังไง? อันไหนน่ากลัว
อาการของกรดไหลย้อนไม่ได้เหมือนกันทุกคน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะหลักๆ ตามนี้เลย
- ระยะที่ 1 อาการน้อยๆ แต่เริ่มรบกวน
อาจมีอาการแค่ตอนกินรสจัด หรือนอนผิดเวลา เช่น เรอบ่อย แสบร้อนกลางอกบางครั้งแต่ยังไม่ถึงกับทรมาน สิ่งที่ควรทำคือ ปรับพฤติกรรม เช่น ไม่กินอิ่มเกินไป เลี่ยงของมัน ชา กาแฟ และพยายามอย่านอนทันทีหลังอาหาร
- ระยะที่ 2: เริ่มมีอาการชัดเจนและถี่ขึ้น
มีอาการแสบกลางอกบ่อยขึ้น อาจเกิดทุกสัปดาห์ หายใจไม่สุด ท้องอืดเรื้อรัง สิ่งที่ควรทำคือ นอกจากปรับพฤติกรรมแล้ว ควรเริ่มปรึกษาหมอและอาจต้องเริ่มใช้ยา เช่น ยาลดกรด หรือกลุ่ม Proton Pump Inhibitor (PPI)
- ระยะที่ 3: อักเสบเรื้อรัง หลอดอาหารเริ่มเสีย
การอักเสบเริ่มทำให้ผนังหลอดอาหารบวมแดงหรือเกิดแผล อาจมีเสียงแหบ ไอเรื้อรัง เลือดปนในเสมหะหรืออาเจียนได้ สิ่งที่ควรทำคือ ต้องรักษาอย่างจริงจัง ควบคุมอาการด้วยยา และอาจต้องส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารเพื่อดูความเสียหายภายใน
- ระยะที่ 4: เสี่ยงกลายเป็นมะเร็ง
เรียกว่า Barrett’s Esophagus เป็นภาวะที่เซลล์เยื่อบุหลอดอาหารเปลี่ยนไปเป็นลักษณะผิดปกติ เสี่ยงกลายเป็นมะเร็งหลอดอาหาร สิ่งที่ควรทำคือ ต้องติดตามอาการเป็นระยะๆ ส่องกล้องเป็นประจำ และในบางคนอาจต้องผ่าตัดหรือรักษาเฉพาะทางร่วมด้วย
3. ทำไมถึงเสี่ยง “มะเร็งหลอดอาหาร”?
การที่กรดจากกระเพาะไหลย้อนขึ้นมาบ่อยๆ ทำให้เยื่อบุหลอดอาหารอักเสบเรื้อรัง เมื่อเซลล์โดนกระตุ้นซ้ำๆ มันจะ "พยายามเปลี่ยนตัวเอง" ให้ทนกรดได้มากขึ้น จนเกิดเป็นภาวะ Barrett’s Esophagus ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์ (metaplasia) นำไปสู่ความเสี่ยงมะเร็งในอนาคต แม้โอกาสจะไม่สูงมาก แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา โอกาสแย่ลงก็สูงขึ้นทุกปี