หมอแม่ เตือนกลิ่นตัวบอกโรค สัญญาณสุขภาพ ที่ห้ามมองข้าม

ในรายการ Tuck Talk กับ ตั๊ก มยุรา ตอนล่าสุด "หมอแม่ Dr.Mom" ได้ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับ "กลิ่นตัว" ที่หลายคนอาจมองข้าม โดยระบุว่า กลิ่นบางอย่างอาจเป็นสัญญาณเตือนโรคเรื้อรัง หรือโรคร้ายแรงในระยะท้าย ได้อย่างไม่คาดคิด

 

 

หมอแม่เผยว่า ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวกับกลิ่นตัวนั้นมีตั้งแต่ พันธุกรรม โดยเฉพาะยีน ABC11 ที่สัมพันธ์กับการมีขี้หูเปียก ซึ่งบ่งบอกแนวโน้มของการมีกลิ่นตัว และยังมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านมชนิดที่ไม่ตอบสนองต่อเคมีบำบัดอีกด้วย

 

กลิ่นตัวไม่ได้มีแค่จากรักแร้หรือเหงื่อ แต่ยังเปลี่ยนไปตาม อายุและฮอร์โมน โดยเฉพาะในวัยทอง กลิ่นจากฮอร์โมนจะเริ่มเด่นชัด ซึ่งหลายคนเริ่มสังเกตได้ตั้งแต่อายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป โดยเรียกว่า “กลิ่นแก่” ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ เช่น กลิ่นอับคล้ายเทียนไข เบียร์หมัก หรือเฟอร์นิเจอร์เก่า

กลิ่นเหล่านี้เกิดจาก ไขมันบนผิวหนังและต่อมกลิ่น เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตไขมันชนิดโอเมก้า 7 มากขึ้น ซึ่งจะทำปฏิกิริยาเกิดสาร 2-Nonenal (แอลดีไฮด์) ที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นเฉพาะตัวในผู้สูงอายุ

 

นอกจากนี้ อาหารและยา ยังมีผลต่อกลิ่นตัว เช่น คนที่กินผักกลุ่มกะหล่ำ หอมหัวใหญ่ กระเทียม หรือเนื้อแดงมาก จะมีกลิ่นตัวแรงขึ้น รวมถึงคนที่ใช้ยาบางชนิด เช่น ยาฆ่าเชื้อ ยาลดไข้ ยาคลายเครียด หรือแม้แต่สารเสพติด

 

หมอแม่ยังเสริมว่า กลิ่นแก่สามารถเกิดในคนอายุต่ำกว่า 40 ปีได้ หากละเลยการดูแลสุขภาพ ไม่ออกกำลังกาย หรือมีปัญหาสุขภาพบางประการ ขณะที่คนที่มีกลิ่นน้อย บ่งบอกว่าอาจมีสุขภาพดี ขับเหงื่อได้ดี และมีระบบขับของเสียที่สมดุล

การป้องกันกลิ่นตัวในวัยสูงอายุ ควรดูแลทั้งสุขอนามัย อาหาร การออกกำลังกาย และเสื้อผ้าที่ใส่ เพราะกลิ่นจะติดเสื้อผ้าได้ง่าย ควรซักและเปลี่ยนบ่อย รวมถึงการดูแลด้านจิตใจและร่างกายของผู้สูงอายุในครอบครัว

 

ที่สำคัญ กลิ่นตัวอาจสะท้อน ปัญหาสุขภาพร้ายแรง ได้ เช่น

• เบาหวาน: มีกลิ่นคล้ายผลไม้หรือกลิ่นน้ำยาล้างเล็บ (กลิ่นคีโตน)
• โรคตับ: อาจได้กลิ่นสารพิษหรือกลิ่นละมุด หากไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์
• โรคไตวาย: กลิ่นคล้ายแอมโมเนีย
• อาการท้องผูกเรื้อรัง: อาจทำให้มีกลิ่นเน่าจากทางปากหรือการผายลม  เพราะอาหารค้างอยู่ในลำไส้เยอะ เรอ ผายลม จะมีกลิ่น

หมอแม่สรุปว่า “กลิ่นตัวอาจเป็นสัญญาณบอกโรคในระยะท้ายได้ อย่ามองข้าม หากพบกลิ่นผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุโดยเร็ว”