- 24 พ.ค. 2568
ราชกิจจานุเบกษา ประกาศใช้ ข้อบังคับว่าด้วยการปล่อยตัวชั่วคราว ง่ายขึ้น วิธีเรียกประกันในคดีอาญา พิจารณารายบุคคล เพิ่มทางเลือกปล่อยตัว ไม่ต้องวางหลักประกันบางกรณี
KEY
POINTS
“ข้อ 9 เงื่อนไขที่อาจกำหนดให้ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวปฏิบัติตามข้อ 8 (1) เช่น
(1) ให้มาศาลตามกำหนดนัด
(2) ห้ามยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
(3) ห้ามเดินทางออกนอกประเทศหรือออกนอกพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง
(4) ห้ามพบหรือเข้าใกล้ผู้เสียหาย ผู้เกี่ยวข้องกับผู้เสียหายหรือบุคคลที่ศาลกำหนด
(5) ห้ามออกจากที่อยู่อาศัย
(6) การเปลี่ยนที่อยู่หรือที่อยู่ตามคำสั่งแจ้งให้ศาลทราบ
(7) ห้ามเข้าไปในสถานที่บางแห่ง
(8) ห้ามคบหาสมาคมกับบุคคลบางประเภท
(9) ให้รายงานตัวต่อผู้นำกับดูแลเจ้าพนักงานหรือบุคคลที่ศาลกำหนด
(10) ให้เข้ารับคำปรึกษาหรือบำบัดรักษาความบกพร่องทางร่างกายหรือจิตใจ
(11) ให้เข้ารับการตรวจร่างกายเพื่อหาสารเสพติด
(12) ห้ามทำกิจกรรมหรือประกอบอาชีพบางอย่าง
(13) ห้ามพกพาอาวุธปืน
(14) ห้ามกระทำการอย่างใด เพื่อป้องกันความเสียหายอันมีลักษณะอย่างเดียวกันที่ถูกฟ้องร้อง”
ข้อ 6 ให้เพิ่มความต่อไปนี้ การปล่อยตัวกรณีมีเหตุพิเศษและการเปลี่ยนแปลงการกำกับดูแลหรือการเรียกประกัน ข้อ 9/1 ข้อ 9/2 และข้อ 9/3 แห่งข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกประกันในคดีอาญา พ.ศ. 2565
“การปล่อยตัวกรณีมีเหตุพิเศษและการเปลี่ยนแปลงการกำกับดูแลหรือการเรียกประกัน
ข้อ 9/1 ถ้าความปรากฏแก่ศาลว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นมีอายุไม่ถึงสิบแปดปีหรือเป็นหญิงมีครรภ์หรือเพิ่งคลอดบุตรมาไม่ถึงสามเดือน หรือเจ็บป่วยซึ่งต้องจะถึงอันตรายแก่ชีวิต หรือปรากฏเหตุอื่นซึ่งทำให้ความเสี่ยงในการหลบหนี ภัยอันตราย หรือความเสียหายที่จะเกิดจากการปล่อยชั่วคราวอันหมดไปศาลจะออกหมายปล่อยผู้ต้องหาหรือจำเลยซึ่งถูกขังอยู่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 71 วรรคสาม ประกอบมาตรา 75 ก็ได้
ข้อ 9/2 ถ้าความปรากฏภายหลังว่า การกำกับดูแลและมาตรการกำกับดูแลที่กำหนดไว้ไม่เพียงพอหรือไม่เหมาะสม ศาลอาจมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขหรือวิธีการกำกับดูแลที่เข้มงวดเพิ่มขึ้น หรือลดลง เปลี่ยนสัญญาประกัน หรือหลักประกัน เพิ่มหรือลดหลักประกัน ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีได้ตามที่เห็นสมควร หรืออาจสั่งเปลี่ยนแปลนการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยอาศัยหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 ก็ได้
กรณีที่ศาลฎีกาสั่งปล่อยชั่วคราวโดยกำหนดเงื่อนไขและวิธีการกำกับดูแลผู้ต้องหาหรือจำเลย ศาลสูงอาจมอบหมายให้ศาลชั้นต้นพิจารณาเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขหรือวิธีการกำกับดูแลที่เข้มงวดเพิ่มขึ้น หรือลดลง เปลี่ยนสัญญาประกันหรือหลักประกัน เพิ่มหรือลดหลักประกันให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีได้ตามที่เห็นสมควร หรืออาจสั่งเปลี่ยนแปลนการปล่อยชั่วคราวตามวรรคหนึ่ง โดยไม่ต้องส่งให้ศาลสูงพิจารณาสั่งได้
ข้อ 7/3 กรณีที่มีการอนุมัติสัญญาประกันหรือถอนหลักประกัน หรือผู้ต้องหาหรือจำเลยขอยกเลิกการปล่อยชั่วคราว โดยไม่ปรากฏพฤติการณ์ผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นจะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น ศาลมีอำนาจปล่อยชั่วคราวต่อไปได้ โดยนำพฤติการณ์ของผู้ต้องหาหรือจำเลยในระหว่างที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวมาประกอบการพิจารณากำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการกำกับดูแลที่เหมาะสมแทนการทำสัญญาประกันหรือวางหลักประกันก็ได้”
ข้อ 7 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของข้อ 14 แห่งข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกประกันในคดีอาญา พ.ศ. 2565
“กรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ปล่อยชั่วคราวภายใต้มาตรการกำกับดูแล แต่มีเหตุขัดข้องไม่อาจใช้มาตรการกำกับดูแลดังกล่าวได้เป็นการชั่วคราว ศาลพึงปล่อยชั่วคราวโดยใช้มาตรการกำกับดูแลอื่นไปพลางก่อนกว่าจะสามารถดำเนินการตามคำสั่งศาลได้”
ข้อ 8 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของข้อ 15 แห่งข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกประกันในคดีอาญา พ.ศ. 2565 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ในกรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศขอปล่อยชั่วคราว ให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวต่อเมื่อผู้ต้องหาหรือจำเลยยินยอมส่งมอบหนังสือเดินทางไว้ต่อศาลด้วย และให้ศาลมีคำสั่งห้ามผู้ต้องหาหรือจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ศาลเห็นสมควรเป็นอย่างอื่น”
ข้อ 9 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ 19/1 แห่งข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกประกันในคดีอาญา พ.ศ. 2565
“ข้อ 19/1 ในกรณีที่จำเลยซึ่งศาลพิพากษาต้องแก้คืนหรือจำเลยระหว่างอุทธรณ์หรือฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 253 วรรคหนึ่ง หากมีความจำเป็นต้องมีประกันในการปล่อยชั่วคราว อาจกำหนดวงเงินประกันต่ำกว่าบัญชีมาตรฐานวงเงินประกันสำหรับการปล่อยชั่วคราวจำเลยตามที่ศาลเห็นสมควรและจะไม่มีหลักประกันก็ได้”
ประกาศ ณ วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2568
ชนากานต์ ธีรเวชพลกุล ประธานศาลฎีกา
ที่มา ราชกิจจานุเบกษา
ราชกิจจานุเบกษา ประกาศใช้ข้อบังคับประธานศาลฎีกาว่าด้วย การปล่อยตัวชั่วคราว ง่ายขึ้น - วิธีเรียกประกันในคดีอาญา เน้นย้ำการพิจารณารายบุคคล และเพิ่มทางเลือกในการปล่อยตัว โดยไม่ต้องวางหลักประกันในบางกรณี
ราชกิจจาฯ ออกประกาศข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกประกันในคดีอาญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกประกันในคดีอาญา พ.ศ. 2565
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 40 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประธานศาลฎีกาจึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกประกันในคดีอาญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568”
ข้อ 2 ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ 3 ให้ยกเลิกความในข้อ 6 แห่งข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกประกันในคดีอาญา พ.ศ. 2565 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 6 ศาลอาจให้พนักงานคุมประพฤติเก็บข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาเหตุและพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดหรือพฤติการณ์อื่นที่บุคคลลักษณะ นิสัย สภาพร่างกายและจิตใจ การศึกษา การประกอบอาชีพงาน ประวัติการกระทำความผิดอาญา สภาพและฐานะของครอบครัว ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในสังคม หรือข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องของผู้ต้องหาหรือจำเลยแล้วจัดทำรายงานหรือความเห็น หรือประเมินความเสี่ยงเพื่อประกอบการพิจารณาสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวด้วยก็ได้
ในคดีที่มีผู้ต้องหาหรือจำเลยหลายคน การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง และการสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ให้พิจารณาเป็นรายบุคคล”
ข้อ 4 ให้ยกเลิกความในข้อ 7 แห่งข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกประกันในคดีอาญา พ.ศ.2565 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 7 ในการสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวและการกำหนดผู้ต้องหาหรือจำเลยให้พิจารณาและดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108 และมาตรา 108/1”
ข้อ 5 ให้ยกเลิกความในข้อ 9 แห่งข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกประกันในคดีอาญา พ.ศ. 2565 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน