สาวร้องแฟนทำร้ายร่างกายตอนท้อง 5 เดือน ฝ่ายชายโผล่แฉคนละม้วน

กลายเป็นประเด็นร้อนทันที หลัง “คาร่า” หญิงสาวที่อ้างว่าถูกแฟนหนุ่มทำร้ายร่างกายขณะตั้งครรภ์ ออกมาเปิดใจเล่าทุกอย่างผ่านรายการโหนกระแฉ ดำเนินรายการโดย ดร.หมวย อริสรา กำธรเจริญ ซึ่งคาร่าเล่าว่าเธอรู้จักฝ่ายชายผ่านทาง TikTok เนื่องจากเธอมักโพสต์ภาพถ่ายกระเป๋าลงโซเชียล ฝ่ายชายจึงเข้าใจผิดว่าเธอเป็นแม่ค้ากระเป๋าและทักมาขอซื้อ แต่เมื่อเธอบอกว่าไม่ใช่ ก็เริ่มพูดคุยกันต่อเนื่องเป็นเวลาราว 2-3 ปี

 

ในเดือนเมษายน 2567 ฝ่ายชายขอคาร่าเป็นแฟน ทั้งที่เธอยังอยู่ฮ่องกง ส่วนฝ่ายชายอยู่ไทย แม้จะเป็นความสัมพันธ์ระยะไกล แต่คาร่าก็ส่งของให้ฝ่ายชายบ่อยครั้ง ทั้งเสื้อผ้าแบรนด์เนม น้ำหอม รวมถึงขนมที่เธอเรียนทำเอง ส่งจากฮ่องกงไปไทย เธอเล่าว่าทั้งคู่เคยวิดีโอคอลกันเพียงครั้งเดียว และเห็นหน้ากันจริง ๆ แค่ตอนนั้น ฝ่ายชายอยู่ในร้านเหล้า

 

ในช่วงที่ยังอยู่ต่างประเทศ คาร่าป่วยเป็นไทรอยด์เป็นพิษ และต้องใช้เงินรักษาตัว ฝ่ายชายก็โอนเงินมาช่วยหลายครั้ง รวมแล้วกว่า 300,000 บาท เงินถูกโอนเข้าบัญชีของย่าหรือแม่ของเธอ เพราะคาร่าไม่มีบัญชีไทย เธออธิบายว่า แม้จะขายของออนไลน์ แต่ลูกค้าจะโอนเข้าบัญชีร้านค้าโดยตรง เธอได้เงินเดือนหรือส่วนแบ่งจากทางร้าน การใช้จ่ายส่วนตัวก็ใช้ผ่านแอปวอลเลตอยู่แล้ว

หลังรักษาตัวได้ 3 เดือน คาร่าตัดสินใจกลับไทยเมื่อกรกฎาคม 2567 เพื่อใช้ชีวิตร่วมกับแฟนหนุ่ม พอเจอหน้ากันครั้งแรกที่คอนโด ฝ่ายชายทักว่าเธออ้วนขึ้นไม่เหมือนในรูป เธอจึงอธิบายว่าอ้วนเพราะป่วยน้ำหนักขึ้น 27 กิโล และถามว่ารับได้ไหม ถ้ารับไม่ได้ก็ให้กลับ แต่ฝ่ายชายกลับดึงเธอไปกอด บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยลดน้ำหนักกัน แล้วคืนนั้นก็ขอนอนที่ห้องและเริ่มใช้ชีวิตร่วมกัน

 

 

หลังจากนั้นฝ่ายชายจะมาอยู่ด้วยประมาณ 4 วันต่อสัปดาห์ ส่วนวันหยุดสุดสัปดาห์จะกลับบ้าน ความสัมพันธ์เหมือนคู่รักทั่วไป จนกระทั่งช่วงกันยายน 2567 ฝ่ายชายเริ่มเปลี่ยนไป ไม่ค่อยติดต่อ ไม่มาหา อ้างว่าเครียดเรื่องงานและเงิน จากนั้นก็บอกเลิก โดยให้เหตุผลว่า "ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม" ซึ่งคาร่าพยายามเคลียร์และขอโอกาส แม้จะมีปัญหาทะเลาะกันเพราะฝ่ายชายติดเที่ยว ชอบไปร้านเหล้าแทบทุกคืน แต่ก็พยายามปรับตัวเข้าหา
 

 

ไม่นานเธอก็รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ เมื่อแจ้งให้ฝ่ายชายทราบ กลับถูกตั้งคำถามว่าแน่ใจหรือไม่ เพราะเขาเคยนอนกับผู้หญิงหลายคนแต่ไม่มีใครท้อง สุดท้ายเมื่อพบว่าเธอท้องจริง ฝ่ายชายก็ยังไม่รับผิดชอบ และบอกว่าไม่อยากมีลูก

 

ทั้งสองจึงทำข้อตกลงว่า ปู่ย่าจะช่วยเลี้ยงลูก ส่วนคาร่าจะกลับฮ่องกง ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกจะแบ่งกันคนละครึ่ง แต่ตลอดการตั้งครรภ์ ฝ่ายชายไม่เคยดูแล และเมื่อเมาก็พูดจาเจ็บแสบ เช่น “กูไม่อยากให้เด็กคนนี้เกิดมาเลย” หรือ “มึงเก็บเด็กไว้เองนะ” แม้กระทั่งวันที่คาร่าไปคลอด พยายามโทรหาฝ่ายชาย 50-100 สาย เขาก็ไม่รับ เธอจึงต้องคลอดลูกตามลำพัง

 

ช่วงที่ตั้งท้อง ฝ่ายชายแทบไม่โอนเงินให้ อ้างว่าไม่มีเงิน โอนแค่หลักร้อยหรือไม่กี่พัน คาร่าได้บัญชีจากย่ามาใช้ พร้อมบัตร ATM และแอป SCB ของไทย เธอชี้แจงว่าไม่เคยทำธุรกรรมเกิน 50,000 บาท หากเกินก็ให้เพื่อนช่วยโอนแทน ส่วนค่าคลอดและฝากครรภ์ เธอออกเองทั้งหมด

 

ส่วนต้นเหตุของคลิปเหตุการณ์ที่เป็นข่าวนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 เกิดเหตุการณ์ที่กล้องวงจรปิดจับภาพได้ว่าคาร่าถูกฝ่ายชายทำร้ายร่างกายที่คอนโด ตอนตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน วันนั้นเธอรอฝ่ายชายเพื่อขอให้ไปตรวจครรภ์ด้วยกัน ยืนรออยู่หลายชั่วโมง พอเจอกันก็พูดคุยกันดีในช่วงแรก แต่พอเธอพูดถึงเรื่องท้องและเรื่องที่เห็นฝ่ายชายพาผู้หญิงอื่นเข้าห้อง ฝ่ายชายเริ่มโมโห จนเกิดเหตุการณ์ยื้อแย่งมือถือ และทำร้ายร่างกายตามที่ปรากฏในคลิป

 

 

 

แต่ระหว่างการออกอากาศ ฝ่ายชาย “เอ” (นามสมมุติ) ฝ่ายชายที่โดนกล่าวอ้างโทรเข้ามาโต้กลับทันที ซึ่ง เอ ยืนยันว่า สิ่งที่คาร่าเล่า “ไม่เป็นความจริง” โดยอ้างว่าผู้หญิงคนนี้เอารูปคนอื่นมาหลอกใช้ใน TikTok และหลอกลวงมาตลอด เอส่งภาพหลักฐานต่าง ๆ ให้ทีมงานแสดงในรายการ พร้อมตั้งคำถามว่า “ถ้าผู้หญิงสวยขนาดนั้น ผมจะไม่อยากวิดีโอคอลเหรอ? แต่เขากลับยอมคอลแค่ครั้งเดียว แถมยังหันกล้องหนี”

 

สำหรับบัญชีที่คาร่าอ้างว่าเป็นของย่า เอบอกว่าเพิ่งเปิดกลางปีที่แล้วในนนทบุรี และเงินที่โอนให้คาร่าก็เป็นการสำรองไปก่อน เพราะคาร่าอ้างว่าจะขายที่ดิน หากขายได้จะคืนให้ อีกทั้ง เอยังเผยอีกว่า คาร่าเคยเสนอเงิน 1 ล้านบาทให้ตนโดยไม่ทราบเหตุผล อาจเป็นการ “ซื้อใจ” แต่ตนปฏิเสธ เพราะไม่ต้องการเงิน เขายืนยันว่ามีหลักฐานแชททั้งหมดเก็บไว้

 

เอ เเล่าอีกว่า หลังจากเดทแรก ทั้งสองยังติดต่อกันต่ออีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่ เอ จะขอถอยห่างและขอเป็นแค่เพื่อนพี่น้อง แต่ฝ่ายหญิงไม่พอใจอย่างรุนแรง มีพฤติกรรมคุกคาม เช่น ร้องไห้ขู่ฆ่าตัวตาย ตามไปที่คอนโด แปะกระดาษประจานหน้าห้องและรถ กล่าวหาว่า เอทิ้งลูกทิ้งเมีย และพาผู้หญิงอื่นเข้าห้อง จนครั้งหนึ่งต้องแจ้งตำรวจให้มาระงับเหตุ

 

 

ต่อมาฝ่ายหญิงยื่นคำขาด หากต้องการให้เลิกยุ่ง ต้องยอมนอนด้วยโดยไม่ใส่ถุงยาง แม้ เอ ลังเล แต่ก็ยอมตาม โดยยืนยันว่าไม่ได้เต็มใจ และมองว่าเป็นการข่มขืน แม้ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์จนสำเร็จ ไม่นานฝ่ายหญิงอ้างว่าตั้งครรภ์ และส่งใบตรวจ DNA มาให้ แต่เมื่อ เอ ตรวจสอบกับโรงพยาบาล กลับพบว่าเอกสารเป็นของปลอม ไม่มีประวัติคนไข้ และโรงพยาบาลไม่ได้ให้บริการแบบนั้น

 

เมื่อถูกจับได้ว่าปลอมเอกสาร ฝ่ายหญิงโวยวายหนัก กล่าวหาว่า เอ ทำร้ายร่างกายขณะตั้งครรภ์ แต่ เอ ปฏิเสธ พร้อมระบุว่าไม่เคยใช้ความรุนแรง และอยากให้สังคมดูคลิปวงจรปิดว่าตนแค่ฉุดรั้ง ไม่ได้ทำร้าย เอ เผยว่าตลอดกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ใจ เพราะถูกฝ่ายหญิงคุกคามไม่หยุด รวมถึงตามไปรบกวนที่ทำงานและคนรอบข้าง และเงิน 300,000 บาทที่เคยให้ไปก็ยังไม่ได้คืน ล่าสุดได้ลงบันทึกประจำวันไว้ และเตรียมดำเนินคดีตามกฎหมาย