- 07 มิ.ย. 2568
รศ.หริรักษ์ ฟาดแรงความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ชี้ 5 ข้อ ฝั่งนั้นกำลังเล่นบทเหยื่อ ถ้ารัฐบาลตามเกมเท่ากับโดนขี่คอ
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีความขัดแย้งระหว่างไทยกัมพูชาในขณะนี้ ลั่น เป็นการวางแผนและเตรียมการเป็นขั้นเป็นตอน ชี้ 5 ประเด็นสำคัญ ให้เห็นว่ากัมพูชากำลังวาดภาพตัวเองว่าเป็นคนดี ต้องการสันติภาพ หากรัฐบาลไทยยังคงไปประชุม JBC ที่พนมเปญในวันที่ 14 มิถุนายน ก็เท่ากับยอมให้กัมพูชาขี่คอ ไม่เหลือศักดิ์ศรีใด ๆ ของชาติอีกแล้ว
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร 7 มิ.ย. 2568
สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกัมพูชาในขณะนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เกิดขึ้นจากการวางแผนและเตรียมการเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มตั้งแต่ให้พลเรือนเข้ามาร้องเพลงปลุกใจที่ปราสาทตาเมือนธมเป็นต้นมา การรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ทับซ้อนที่ช่องบกจนเกิดการปะทะกับทหารไทยจนทหารกัมพูชาเสียชีวิตไป 1 นาย หรือแม้กระทั่งการสร้างสันเขื่อนกันคลื่นใกล้เกาะกูดก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นความพยายามในการเคลมดินแดนที่เป็นของไทยให้ไปเป็นของกัมพูชาเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น
บางคนเชื่อว่าสถานการณ์ดังกล่าวนี้เป็นการเล่นละครเพื่อสร้างสถานการณ์ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนไทยไปจากการเมืองไทยที่กำลังถึงจุดเป็นจุดตายของคุณทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อดูจากท่าทีและการแสดงออกที่แข็งกร้าวของฮุนเซน ซึ่งต่างจากท่าทีของรัฐบาลไทยที่ค่อนข้างจะเกรงอกเกรงใจกัมพูชา ไม่ใช่เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจแต่อย่างใด แต่เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อฉวยโอกาสให้ได้พื้นที่จากไทยเพิ่มขึ้น โดยอาศัยกลไกศาลโลก ที่กัมพูชามั่นใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบต่างหาก
ในขณะที่ไทยและกัมพูชาได้มีการเจรจากันในกรณีเหตุการณ์ที่ช่องบก รัฐบาลโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้ข่าวว่า ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกันว่าจะถอยออกไปจากที่เดิมฝ่ายละ 200 เมตร แต่ในความเป็นจริง ทหารกัมพูชากลับไม่ถอยโดยอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชามาตั้งแต่ก่อน MOU 43
ในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ๆ ดังนี้
1.กัมพูชาได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศ โดยยึดมั่นในสันติภาพ ความเป็นมิตร และความร่วมมือระหว่างประเทศตลอดมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีเขตแดนติดกันที่กำหนดกันไว้ตั้งแต่ยุคที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
2.ความแน่วแน่ในการยึดมั่นในสันติวิธีของรัฐบาลกัมพูชา เห็นได้อย่างชัดแจ้งจากประวัติศาสตร์ ซึ่งรวมถึงการนำข้อพิพาทกับประเทศไทย เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก (ICJ) ซึ่งตัดสินให้กัมพูชาชนะในปี ค.ศ. 1962 และอีกครั้งในปี ค.ศ. 2013 การกระทำเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ และการแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติ
3.เป็นที่น่าเสียใจว่า ประมาณ 5.30 น. ของวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 2025 เกิดเหตุการณ์ปะทะกันด้วยอาวุธ จากการที่ทหารไทยเปิดฉากยิงไปที่ที่ตั้งของทหารกัมพูชาที่หมู่บ้านสามเหลี่ยมมรกต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รับรู้กันมาเป็นเวลานานว่าเป็นที่ตั้งของหน่วยทหารกัมพูชา เป็นที่น่าเสียใจว่า การปะทะกันทำให้ทหารของกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการต่อการใช้ความรุนแรงโดยปราศจากสาเหตุอันควร อันเป็นการละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา และการเคารพต่อเขตแดน และหลักของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดีอย่างร้ายแรง ซึ่งได้ระบุไว้ใน MOU 2000 ระหว่างประเทศทั้งสอง
4.เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์หนึ่งในหลาย ๆ เหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นข้อจำกัดของกลไกในการจัดการกับข้อพิพาท ที่เกี่ยวกับประเด็นการโต้แย้งเรื่องเขตแดนที่ใช้ร่วมกันทั้งหมด เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ปัญหาเหล่านี้จะได้รับการแก้ไขอย่างเป็นธรรม เป็นกลาง และยั่งยืน ในวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 2025 รัฐบาลกัมพูชาได้ตัดสินใจส่งเรื่องกรณีพิพาทในพื้นที่ 4 แห่ง ได้แก่ ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย เพื่อให้ศาลโลกพิจารณา พื้นที่ทั้ง 4 แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่อ่อนไหว และไม่มีการจัดการแก้ปัญหา รังแต่จะทำให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มขึ้นหากปล่อยไว้เช่นนี้
5.ในขณะเดียวกัน รัฐบาลกัมพูชายังคงมุ่งมั่นในแนวทางการเจรจาและวิธีทางการทูต และยังคงเข้าร่วมในช่องทางเจรจาแบบทวิภาคี และจะจัดให้มีการประชุม JBC ครั้งต่อไปที่กรุงพนมเปญ ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2025 อย่างไรก็ดี เนื่องจากจะได้มีการส่งเรื่องกรณีพิพาทในพื้นที่ 4 แห่งไปที่ศาลโลกอยู่แล้ว ดังนั้นจะไม่มีเรื่องดังกล่าวอยู่ในวาระการประชุม JBC ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้
ข้างต้นคือสาระสำคัญทั้งหมดในแถลงการณ์ของกัมพูชา จะเห็นว่าเนื้อหาเป็นการวาดภาพตัวเองว่าเป็นคนดี ต้องการสันติภาพ เคารพในกฎหมายระหว่างประเทศ ทหารกัมพูชาอยู่ในที่ตั้งที่ช่องบกหรือสามเหลี่ยมมรกต ซึ่งอยู่ในเขตของกัมพูชา และโยนความผิดให้ไทยเป็นผู้รุกราน โดยอ้างว่าทหารไทยเปิดฉากยิงก่อน ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ไทยจึงเป็นฝ่ายละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา แต่เนื่องจากรัฐบาลกัมพูชาปรารถนาแนวทางการแก้ปัญหาโดยสันติ ไม่ต้องการใช้ความรุนแรง จึงจะนำเรื่องนี้ ซึ่งรวมพื้นที่ที่ชายแดนติดกันอีก 3 แห่ง ไปสู่การพิจารณาของศาลโลก ดูเป็นเหตุเป็นผลอย่างยิ่ง
ในเวลาใกล้ ๆ กัน รัฐบาลไทยก็ออกแถลงการณ์เช่นกัน แต่เป็นแถลงการณ์ที่ดูเลื่อนลอย ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน นอกเหนือจากการพร่ำบอกว่าไทยต้องการเจรจาอย่างสันติแล้ว ไม่มีอะไรเป็นสาระ ต่อมาในวันรุ่งขึ้น รัฐบาลไทยจึงออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ครั้งนี้จึงได้ประกาศไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลโลก แต่ยังไม่มีการโต้แย้งว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อน ไม่ใช่ไทย และไม่มีการยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวที่ฝ่ายกัมพูชารุกเข้ามาเป็นดินแดนของไทย ปล่อยให้กัมพูชาเคลมอยู่ฝ่ายเดียว และยังยืนยันว่าจะไปร่วมประชุม JBC ที่พนมเปญ ในขณะที่รัฐบาลกัมพูชาแถลงชัดว่า จะไม่รวมข้อพิพาทบนพื้นที่ 4 แห่งข้างต้นอยู่ในวาระการประชุม จนกระทั่งทหารอดรนทนไม่ได้ จึงต้องออกแถลงการณ์ของทหารเอง
เป็นที่ทราบกันว่า ฮุนเซนและครอบครัวมีความสนิทสนมแนบแน่นกับครอบครัวชินวัตร แต่เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทยกับกัมพูชา ฮุนเซนไม่ได้มีความเกรงอกเกรงใจครอบครัวชินวัตรซึ่งเป็นคนไทยเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงข้าม นายกรัฐมนตรีของไทยและบรรดาลิ่วล้อกลับมีความเกรงใจฮุนเซนและกัมพูชา กระทั่งยอมอ่อนข้อให้ตลอดเวลา ท่าทีของคุณทักษิณดูเหมือนไม่มีความสนใจในเรื่องอธิปไตยของชาติแต่อย่างใด มองเป็นเรื่องเล็ก อ้างว่าพูดคุยกันได้ไม่มีปัญหา หากตกลงกันไม่ได้ก็ให้มันเป็น no man's land ไป ในขณะที่กัมพูชาเอาจริงเอาจังและมุ่งมั่นที่จะเอาพื้นที่ที่อยู่ระหว่างชายแดนไทยและกัมพูชา 4 แห่งให้เป็นของกัมพูชาให้ได้ หรือคุณทักษิณจะให้ความสนใจต่อผลประโยชน์จากทรัพยากรใต้ทะเลอ่าวไทยมากกว่าก็ไม่ทราบ
หากรัฐบาลไทยยังคงไปประชุม JBC ที่พนมเปญในวันที่ 14 มิถุนายน ก็เท่ากับยอมให้กัมพูชาขี่คอ ไม่เหลือศักดิ์ศรีใด ๆ ของชาติอีกแล้ว
สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในขณะนี้ น่าจะเป็นข้อพิสูจน์ว่า ที่อ้างกันว่ากำลังทหารไม่มีความจำเป็นเพราะเขาไม่รบกันแล้ว ไม่เป็นความจริง การพยายามคัดค้านการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ ด้วยเหตุผลว่าไม่มีความจำเป็น ก็ไม่เป็นความจริง
อย่าลืมว่า สัจธรรมข้อหนึ่งที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติที่ว่า
"สันติภาพ และความมั่นคงจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเรามีความพร้อมที่จะรบ"
ยังคงเป็นความจริงเสมอ