- 11 มิ.ย. 2568
ฮุน มาเนต เซ็นแล้วคำสั่งตั้งคณะกรรมการ ฟ้องศาลโลก พุ่งเป้า สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย
คืบหน้าสถานการณ์ข้อพิพาท ชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าสุด 10 มิ.ย.68 รัฐบาลกัมพูชา ได้ออกเอกสารจัดตั้งคณะกรรมการ เพื่อเตรียมยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ( ศาลโลก ICJ) เป้าหมายเพื่อแก้ไขข้อพิพาทและยืนยันสิทธิ์ในพื้นที่สำคัญบริเวณชายแดน คือ สามเหลี่ยมมรกต พื้นที่ชายแดนรอยต่อ3ประเทศ ไทย กัมพูชา ลาว รวมถึงปราสาทโบราณ 3 แห่ง คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และ ปราสาทตาควาย ซึ่ง "ฮุน มาเนต" นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้เซ็นคำสั่งแต่งตั้งเรียบร้อยแล้ว
โดย Wassana Nanuam นักข่าวสายทหารชื่อดัง เปิดเผยว่า ฟ้องฝ่ายเดียว ก็เอา !
“Hun Manet” เซ็นคำสั่งตั้งคณะกรรมการ ฟ้องศาลโลก ICJ
อ้างสิทธิ์ สามเหลี่ยมมรกต-ช่องบก Mumbai และ 3 ปราสาท
ขณะที่วันนี้ “นายกรัฐมนตรีไทย”
ประกาศรัฐบาลไทย ไม่รับอำนาจศาลโลก
พลเอก ฮุนมาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ว่า ตัดสินใจจัดตั้งคณะกรรมการจัดทำเอกสารเพื่อฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และ ปราสาทตาควาย
ด้านในฝั่งของไทย ทาง พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังจากทหารทั้ง 2 ฝ่าย ปรับเปลี่ยนกองกำลัง ว่า ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม - 5 มิถุนายน นายกรัฐมนตรี ได้มีบัญชาให้ วันที่ 5 มิถุนายน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะเดินทางไปพบกับรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่อรัญประเทศ ยืนยันว่าไม่ได้ข้ามไปที่กัมพูชา
ข้อเสนอของ รองนายกฯภูมิธรรม ได้ชี้ให้ฝ่ายกัมพูชาเห็นว่า ประเด็นสำคัญมี 2 ข้อคือ
1.กองกำลังเผชิญหน้ากันที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งรัฐบาลห่วงใยว่าทหารที่มีอาวุธ หากเผชิญหน้ากันมีความเสี่ยงเกิดการปะทะตลอดเวลา
2.กัมพูชาจะยกเลิกอธิปไตยไปขึ้นศาลโลก ก็ให้ว่าไปตามขั้นตอน แต่ความจริงเราอยากให้เข้าสู่ขบวนการเจบีซี ไทยขอให้รองนายกรัฐมนตรีและกลาโหมทั้งสองฝ่าย ปรับกำลังเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
สำหรับเหตุการณ์วันที่ 6 มิถุนายน นายกฯ มีบัญชาให้นายภูมิธรรม จัดการประชุม สมช. เพื่อให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพิจารณาร่วมกันว่า แนวทางปฎิบัติขั้นตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร และนายกฯ ได้ร่วมประชุมด้วย ทางกองทัพและ สมช. เสนอให้มีการปิดด่านบางจุด ทำให้สื่อมวลชนและประชาชนที่ทราบข่าวล่วงหน้าพูดถึงประเด็นปิดจุดผ่านแดน
แต่ความเป็นจริงในที่ประชุม สมช. เห็นว่าการเพิ่มมาตรการควบคุมมีความสำคัญ จำเป็นต้องเพิ่มมาตรการ เพราะทหารกัมพูชาเคลื่อนย้ายกำลังมาบริเวณชายแดน มีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ ทำให้ประชาชนตามแนวชายแดนเดือดร้อน รัฐบาลมีความห่วงใยเรื่องผลกระทบและความปลอดภัยของประชาชน และรัฐบาลห่วงใยว่าประชาชนที่ประกอบอาชีพโดยสุจริตหรือปฏิบัติภารกิจในประเทศไทย จึงยังไม่ใช้มาตรการปิดผ่านแดน และที่ประชุมได้แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่หนึ่ง การจำกัดการเข้าออกของบุคคล ได้แก่ ค้าขายตามแนวชายแดน แรงงาน การศึกษา การพยาบาล และด้านมนุษยธรรม ส่วนกลุ่มอื่นที่ไม่จำเป็น เช่น นักท่องเที่ยว นักพนัน รัฐบาลมองว่าไม่จำเป็น หากให้เข้าออกร้อยเปอร์เซ็นต์จะทำให้การดูแลความสงบชายแดนยากขึ้น จึงต้องจำกัดคนเข้า
ส่วนการยกระดับขั้นที่สอง คือ การจำกัดเวลาบริเวณด่านปอยเปต จากเปิด 06.00-22.00 น. ปัจจุบันลดเหลือ 08.00-16.00 น. ซึ่งสมช. เห็นว่ามีความเหมาะสม
ขั้นตอนที่สาม หากจำเป็นต้องยกระดับจะมีการปิดจุดผ่านแดนบางจุด
ขั้นตอนที่สี่ ปิดตลอดแนวตั้งแต่ จังหวัดอุบลราชธานี บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด
พลเอกณัฐพล ย้ำอีกว่า ประชุมให้ความเห็นชอบทั้ง 4 ขั้นตอน แต่ให้แนวทางว่า ขอภาวนากระทรวงกลาโหม โดยกองทัพ ก่อนดำเนินการให้หารือกับรัฐบาลเพื่อดูแนวทางกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และในช่วงเย็นวันที่ 6 มิถุนายน กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ประกาศว่ากัมพูชาจะไม่ถอนกำลังตามที่กระทรวงกลาโหมไทยได้เสนอ สมช. มองว่าไม่มีความคืบหน้า นายกฯ จึงสั่งการให้ดำเนินการยกระดับตามที่ สมช. เห็นชอบ “กองทัพขอให้ยกระดับไปขั้นหนึ่งและสองในเวลาเดียวกัน จึงเกิดการจำกัดบุคคลเข้าออกตามชายแดน“
นอกจากนี้ มีสื่อมวลชนบางสำนักเสนอข่าวว่า จังหวัดจันทบุรี มีการใช้กฎอัยการศึก แต่ความจริงอำเภอชายแดนรอบประเทศ ประกาศใช้กฎอัยการศึกทุกอำเภอด้วยอำนาจของกองทัพและทหารในพื้นที่สามารถใช้ได้ แต่ สมช. เห็นว่าปัจจุบันไม่สมควรใช้จึงใช้มติของ สมช. เท่านั้น
ส่วนวันที่ 7มิถุนายน ได้ดำเนินการมาตรการควบคุมขั้นที่หนึ่งและสอง ยังไม่มีการปิดจุดผ่านแดน ที่ปิดคือเป็นช่องทางธรรมชาติ และวันที่ 8 มิถุนายน รัฐบาลได้รับการติดต่อจากกัมพูชา ผ่าน ผบ.ทบ ของไทย ตอบรับปรับกำลังในพื้นที่ปะทะ และอยากให้ดำเนินการอย่างเงียบๆ
อีกทั้ง กัมพูชาเสนอว่า อยากให้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายเชิญประชาชน สื่อมวลชน นักวิชาการ และนักการทหาร ลดข้อเสนอข้อมูลข่าวสารที่จะทำให้ประชาชนทั้งสองชาติเกลียดชังกัน และเวลา 10.00 น. ผบ.หน่วย ได้ประสานไปยังกองกำลังสุรนารี ขอให้เข้ามาตรวจพื้นที่เพื่อพิจารณาเรื่องการปรับกำลัง และขอให้กลบคูเลต ทางกัมพูชาก็ให้การตอบรับ คุยอย่างฉันท์มิตร-สันติ แม้สถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง จุดเผชิญหน้ามีการปรับกำลังออกไปถือว่าสถานการณ์ดีขึ้น แต่กำลังส่วนอื่นยังอยู่ที่เดิม
พลเอกณัฐพล กล่าวถึงมาตรการที่ทำอยู่ว่า หากจะมีการยกระดับต้องดูท่าทีของกัมพูชา ซึ่งไทยเน้นแนวทางสันติในการใช้กลไกเจบีซี และต้องดูว่าท่าทีกลไกพัฒนาดีขึ้นหรือไม่ ก็จะมาพิจารณาในมาตรการควบคุมตามแนวชายแดนอีกครั้ง รัฐบาลมองในแง่ผลกระทบเรื่องความปลอดภัยของประชาชน นี่ไม่ใช่มาตรการกดดัน หากมีการเผชิญหน้าแต่ยังมีกำลังละลอกสองที่ต่างฝ่ายยังวางกำลัง นี่คือสิ่งที่ละเอียดอ่อนจึงขอคงมาตรการนี้ต่อไป