เปิดคำชี้แจง 15 นาที "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข" ต่อแพทยสภา

คำชี้แจง 15 นาที “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข" ต่อแพทยสภา ยื่นเหตุผลขอให้ทบทวนมติลงโทษ 3 แพทย์ ชี้ไม่มีเจตนาทุจริต–ตั้งคำถามแรงจูงใจกรรมการแพทยสภา

เปิดคำชี้แจงของ “สมศักดิ์ เทพสุทินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้ยื่นเอกสารจำนวน 11 หน้า ถึง นายกแพทยสภา และกรรมการแพทยสภาทุกคน และยังได้แนบผลการพิจารณาจริยธรรมของแพทยสภา ที่ผ่านคณะกรรมการทั้ง 4 ชุด และผลสำรวจ นิด้าโพล เรื่องระดับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของแพทยสภาในการกำกับดูแลจริยธรรมของวิชาชีพเวชกรรม ที่ระบุว่าไม่เชื่อมั่นถึง 54.35% โดยในการประชุมแพทยสภาครั้งนี้ ใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมง และให้โอกาสสมศักดิ์ ชี้แจงเพียง 15 นาที และเดินทางกลับทันที

เปิดคำชี้แจง 15 นาที รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต่อแพทยสภา

สำหรับคำชี้แจงของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ มีเนื้อหา ดังนี้

ท่านนายกแพทยสภา ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ท่านกรรมการแพทยสภาทุกท่าน

อาศัยอำนาจตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ มีหน้าที่โดยตรงในการพิจารณาให้ความเห็นต่อมติของแพทยสภา ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการค้ำจุนจริยธรรมของวิชาชีพแพทย์ อันเป็นเสาหลักที่ประชาชนใช้ยึดโยงความเชื่อมั่นและไว้วางใจต่อการรักษาพยาบาลในสังคมไทย

จริยธรรมทางการแพทย์นั้นมิใช่เพียงข้อบังคับ หากแต่เป็นแกนกลางของวิชาชีพที่สะท้อนความรับผิดชอบของแพทย์ต่อชีวิตและศักดิ์ศรีของผู้ป่วย โดยต้องตั้งอยู่บนหลัก 4 ประการ ได้แก่ การเคารพเจตจำนงของผู้ป่วย การให้ประโยชน์สูงสุด การไม่ก่ออันตราย และการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม

ด้วยเหตุนี้ การให้ความเห็นต่อมติลงโทษแพทย์จึงต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ ละเอียดอ่อน และยึดมั่นในความเป็นธรรมอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อตอบสนองกระแส แต่ต้องเป็นการตัดสินบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง เจตนา และบริบทของการปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต

ผมขอเรียนว่า ได้ใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงจากการสอบสวนของคณะอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจ ซึ่งมี ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี เป็นประธาน โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบและทุ่มเท ใช้เวลาสอบสวนนานถึง 5 เดือน 5 วัน โดยมีผลสรุปว่า

1. นพ.วัฒนชัยฯ - มีความเห็นให้ยกข้อกล่าวหา

2. พญ.รวมทิพย์ฯ - เห็นควรลงโทษเบา โดยมติให้ “ว่ากล่าวตักเตือน”

3. พล.ต.ท. นพ.โสภณรัชต์ฯ - เห็นควร “ภาคทัณฑ์”

4. พล.ต.ท. นพ.ทวีศิลป์ฯ - มีความเห็นชัดเจนว่า “ไม่มีความผิดทางจริยธรรม”

แต่เมื่อเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกลั่นกรองและคณะกรรมการแพทยสภา มติที่ออกมากลับแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการลงโทษที่รุนแรงขึ้น เช่น การพักใช้ใบอนุญาตฯ เป็นระยะเวลาหลายเดือน ทั้งที่ไม่มีข้อเท็จจริงใหม่เพิ่มเติมจากชั้นสอบสวน

สิ่งที่ผมให้ความสนใจเป็นพิเศษและไม่อาจละเลยได้คือ เหตุใดคณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่จึงมีมติกลับจากผลการสอบสวน หากไม่มีพยานหลักฐานใหม่หรือเหตุผลที่หนักแน่น การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อาจก่อให้เกิดข้อสงสัยว่า มีแรงจูงใจอื่นใดอยู่นอกเหนือจากข้อเท็จจริงและหลักวิชาชีพหรือไม่

ผมเคยขอข้อมูลเพิ่มเติมจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมถึงสองครั้ง แต่ได้รับคำตอบจากแพทยสภาว่าได้ส่งเอกสาร “เพียงพอแล้ว” ซึ่งในมุมมองของผม การไม่เปิดเผยข้อมูลสำคัญเช่นนี้อาจเป็นผลเสียต่อการใช้ดุลยพินิจและการลงมติอย่างรอบด้าน

ผมคาดหวังว่ากรรมการที่มาลงมติจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย และรักษาความเป็นกลางไว้ได้อย่างแท้จริง

ผมขอเน้นว่า การพิจารณายับยั้งมติดังกล่าวไม่ได้เกิดจากความเห็นส่วนตัว หากแต่เกิดจากการใคร่ครวญข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน

ผมขอชี้แจงเพิ่มเติมเป็นรายกรณี

- นพ.วัฒนชัยฯ : คณะกรรมการแพทยสภามีมติยกข้อกล่าวหา ผมเห็นว่าสอดคล้องกับหลักนิติธรรม จึงเห็นชอบ

- พญ.รวมทิพย์ฯ : การออกใบส่งตัวล่วงหน้าเป็นแนวปฏิบัติในเรือนจำ และเธอไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจส่งตัวพิเศษ พฤติกรรมอยู่ในขอบเขตวิชาชีพ ไม่ปรากฏเจตนาทุจริต

- นพ.โสภณรัชต์ฯ : คำพูดที่ว่า "ความดันยังสูง" และ "น่าเป็นห่วง" ไม่ใช่การกล่าวว่าผู้ป่วยวิกฤติ และไม่ขัดแย้งกับเวชระเบียน ไม่ควรถือเป็นการให้ข้อมูลเท็จ

- นพ.ทวีศิลป์ฯ : ความเห็นในใบแสดงความเห็นแพทย์ไม่ได้มีข้อความเท็จ แต่สะท้อนการดูแลแบบองค์รวม ความเห็นที่แตกต่างไม่ควรถูกลงโทษ หากไม่มีเจตนาทุจริต

อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับประเทศภายใต้กระบวนการยุติธรรม และเหลือโทษจำคุกเพียง 1 ปี เมื่อเข้าเรือนจำก็ได้รับการตรวจร่างกายตามหลักเกณฑ์ปกติ เพื่อประเมินสุขภาพเหมือนผู้ต้องขังรายอื่นๆ

ผู้ป่วยซึ่งเป็นอดีตนายกฯ ได้รับการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพเพื่อการรักษาเฉพาะทาง กลับกลายเป็นเหตุให้แพทย์ 4 คนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าประพฤติผิดจริยธรรม ทั้งที่การกระทำอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบในวิชาชีพ

พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 33 ยังบัญญัติถึงการคุมขังในสถานที่อื่นนอกเรือนจำ (House Arrest) เพื่อเคารพสิทธิมนุษยชน แนวทางเช่นนี้ควรสนับสนุน มิใช่ถูกตีความว่าเป็นความผิด

หากปล่อยให้มีการลงโทษแพทย์ในกรณีนี้ จะกลายเป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานราชทัณฑ์ กระบวนการยุติธรรม และจะส่งผลกระทบต่อบุคลากรในระบบทั้งหมด

ผมขอฝากคำถามถึงคณะกรรมการแพทยสภา:

- 1. มติของเราวันนี้จะสร้างบรรทัดฐานแบบใดในวงการแพทย์? เรากำลังสร้างวัฒนธรรมแห่งความกลัวหรือเปล่า?

- 2. หากในอนาคต สังคมมองว่ามติในวันนี้คือความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์ เราจะอธิบายต่อคนรุ่นหลังได้หรือไม่?

- 3. มีใครรู้สึกแม้เพียงนิดเดียวไหมว่า โทษที่กำหนดไว้นั้นรุนแรงเกินไป?

- 4. หากแพทย์ที่กำลังถูกลงโทษคือคนในครอบครัวของเราเอง เราจะยังยืนยันบทลงโทษเดิมอยู่หรือไม่?

ในการประชุมวันนี้ ขอให้พวกเราช่วยกันตัดสินในฐานะ "มนุษย์คนหนึ่ง" ไม่ใช่เพียงกรรมการ

ความเมตตาไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความยุติธรรมในรูปแบบที่สูงที่สุด

ขอบพระคุณครับ

เปิดคำชี้แจง 15 นาที รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต่อแพทยสภา