- 14 พ.ค. 2568
รู้จักโควิดโอมิครอน XEC สายพันธุ์ลูกผสม มาแรงแซงทุกสายพันธุ์ ระบาดเร็ว อย่าชะล่าใจ ป้องกันตัวก่อนติดยกบ้าน
แม้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จะคลี่คลายไปมากในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ล่าสุด สายพันธุ์ใหม่อย่าง "โอมิครอน XEC" ได้กลายเป็นประเด็นที่หลายคนสนใจและคนสงสัยว่าจะอันตราย หรือรุนแรงหรือไม่ หลังยอดผู้ป่วยโควิดพุ่งอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเพจ "ศูนย์ข้อมูล COVID-19" ได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ลูกผสมตัวใหม่ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ชี้แจงถึงสายพันธุ์ดังกล่าวที่หลายคนอาจยังไม่คุ้นชื่อ แต่กำลังระบาดอย่างรวดเร็วในหลายพื้นที่ ขออย่าตื่นตระหนก แต่ต้องไม่ประมาท
จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูล COVID-19 ระบุว่า โอมิครอน XEC เป็นสายพันธุ์ลูกผสมใหม่ที่เกิดจากการรวมตัวของโอมิครอนย่อย 2 สาย ได้แก่ KS.1.1 (FLiRT) และ KP.3.3 (FLuQE) โดยพบครั้งแรกในประเทศเยอรมนีเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 และจนถึงขณะนี้มีรายงานการพบเชื้อในอย่างน้อย 15 ประเทศ ทั้งในยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย โดยมีการถอดรหัสพันธุกรรมแล้วกว่า 550 ตัวอย่างจาก 27 ประเทศทั่วโลก
ข้อมูลจากสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และจีน ระบุว่า สายพันธุ์ XEC แพร่เชื้อได้เร็วกว่าโอมิครอนตัวอื่นถึง 84-110% และบางประเทศพบผู้ติดเชื้อ XEC คิดเป็น 10-20% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่
แม้อัตราการแพร่เชื้อจะสูง แต่ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า อาการของ XEC ไม่รุนแรงมากนัก โดยผู้ป่วยมักแสดงอาการคล้ายโควิดทั่วไป ได้แก่ ไข้ ไอ เจ็บคอ เหนื่อยล้า ปวดหัว ปวดเมื่อย คัดจมูก น้ำมูกไหล สูญเสียการรับกลิ่นหรือรส เบื่ออาหาร ท้องเสีย และอาเจียน
อาการของสายพันธุ์ XEC ไม่รุนแรง คล้ายกับสายพันธุ์โควิด-19 อื่นๆ และโรคทั่วไปเช่นหวัดและไข้หวัดใหญ่
- ไข้ ไอ เจ็บคอ
- เหนื่อยง่าย ปวดหัว ปวดตัว
- คัดจมูก น้ำมูกไหล
- สูญเสียการรับกลิ่น/รส
- เบื่ออาหาร ท้องเสีย อาเจียน
การป้องกันยังคงใช้แนวทางเดิม คือ
- เข้ารับการฉีดวัคซีนและเข็มกระตุ้นให้ครบตามกำหนด
- สวมหน้ากากในพื้นที่แออัดหรือระบบปิด
- ล้างมือบ่อยๆ
- เว้นระยะห่างจากผู้อื่น
- แยกตัวทันทีเมื่อเริ่มมีอาการผิดปกติ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่า แม้สถานการณ์โดยรวมจะคลี่คลายไปมาก แต่ยังไม่ควรละเลยการเฝ้าระวัง โดยประชาชนควรติดตามข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ พร้อมปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันตนเองและคนรอบข้างจากความเสี่ยงของโควิดสายพันธุ์ใหม่
อย่าตื่นตระหนก แต่ต้องไม่ประมาท
ที่มา: คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี / ศูนย์ข้อมูล COVID-19