ตามหาด่วน "เมทินี" หายตัวปริศนากว่า 20 วัน หลังทะเลาะแฟนต่างชาติ

ญาติประกาศตามหา "เมทินี" หญิงวัย 43 หายตัวนานกว่า 20 วัน จากพัทยา โดยมีข้อมูลว่าก่อนหายตัวไปได้มีปัญหากับแฟนชาวต่างชาติ

วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เพจเฟซบุ๊กชื่อดัง เจ๊ม้อย v+ ประกาศตามหาคนหาย หลังได้รับแจ้งจากสมาชิกว่ามีญาติผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ เมทินี อายุ 43 ปี หายตัวไปนานกว่า 20 วัน โดยญาติได้เข้าแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจภูธรพัทยา หลังติดต่อได้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก่อนจะขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิง 

 

ตามหาด่วน เมทินี หายตัวปริศนากว่า 20 วัน หลังทะเลาะแฟนต่างชาติ

ตามหาด่วน เมทินี หายตัวปริศนากว่า 20 วัน หลังทะเลาะแฟนต่างชาติ

 

โดยข้อมูลระบุว่า หญิงรายนี้ถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายที่ ซอยบัวขาว เมืองพัทยา และก่อนหายตัวไปมีปัญหาส่วนตัวกับแฟนชาวต่างชาติโดยโพสต์ว่า 

"สมาชิกแจ้งทางดั๊นว่า มีญาติเป็นผู้หญิงอายุ 43 ปีชื่อ เมทินี หายตัวไปนานกว่า 20 วัน ได้เข้าแจ้งความไว้ สภ.พัทยา เจอครั้งสุดท้าย ในซอยบัวขาว ติดต่อได้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 05/05/2568 หลังจากนั้นก็สาปสูญเลย ก่อนหายตัวไปมีปัญหากับแฟนฝรั่ง ด้วยค่ะ เกรงว่าจะเป็นร่างที่พบที่แสนภูดาษ ถ้ายังอยู่ปลอดภัย ติดต่อญาติ หรือติดต่อดั๊นได้ค่ะ"

ตามหาด่วน เมทินี หายตัวปริศนากว่า 20 วัน หลังทะเลาะแฟนต่างชาติ

 

ซึ่งทางเพจมีการตั้งข้อสังเกตถึงความเป็นไปได้ของการเชื่อมโยงกันระหว่างหญิงที่หายตัวไปกับศีรษะมนุษย์ที่พบที่ฉะเชิงเทรา ทว่าด้านคอมเมนต์จากลูกเพจท่านหนึ่งแย้งว่าไม่มีทางเป็นไปได้

"ข้อสันนิษฐาน กระดูกที่เจอ กับคนในหัวโพสต์เจ๊มอย ที่ว่าหายตัวไป 2 วีคกว่าๆ ผมกล้าบอกได้ว่า เป็นคนละคน การที่ศพจะเน่าเปื่อย ย่อยสลายจนแห้งเหลือแต่กระดูกแบบนี้ สภาวะปกติ ยังไงก็มากกว่า 7เดือน และต่อให้สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย อากาศอบอุ่น มีแบคทีเรียเยอะ ยังไงก็ไม่ต่ำกว่า 5 เดือนแน่นอน และต่อที่2 ต่อให้ใช้สารเคมีในการย่อยศพ ยังไงก็ต้องไม่เหลือผม แต่นี่ยังเหลือทั้งเส้นผม ทั้งใบหูอีกข้าง ยังไง ก็ตายมาเกือบปีแล้ว แต่หมามันเพิ่งไปคาบออกมาหรือเปล่า ไม่น่าจะผูกข่าวแบบนี้"

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ถึงความเชื่อมโยงระหว่างศีรษะที่พบกับหญิงที่หายตัวไป ข้อมูลทั้งหมดอยู่ระหว่างการพิสูจน์และสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยศีรษะที่พบได้ถูกส่งไปตรวจพิสูจน์ที่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อยืนยันอัตลักษณ์บุคคลและชันสูตรต่อไป

ซึ่งจากพื้นที่แล้วน่าจะเป็นที่แน่ชัดว่าทั้งสองคดีนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน