- 17 มิ.ย. 2568
อ.เจษฎ์ ดร.เจษฎา เตือนอย่าตกใจ “โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน” ไม่ได้ติดต่อคนสู่คนโดยง่าย แต่เกิดจากเชื้อเข้าสู่บาดแผลและลุกลามอย่างรุนแรง หากรักษาไม่ทันอาจถึงชีวิต
"อ.เจษฎ์" ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความเปิดข้อ โดยได้ระบุว่า
เห็นพาดหัวข่าวนี้ "ผลชันสูตร ชายชาวลำปางเสียชีวิตบนรถทัวร์ เป็นโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน" ... แล้วอย่าพึ่งตกใจแตกตื่นอะไรกันนะครับ
คือ โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน หรือโรคเนื้อเน่า เนี่ย ปรกติมันไม่ใช่โรคติดต่อระหว่างคนสู่คน แบบสัมผัสโดนตัวกัน หรือหายใจใส่กัน แต่เป็นการที่ผู้ป่วยมีแผลที่ตามร่างกาย แล้วติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ เข้าไปสู่เนื้อเยื้อใต้ผิวหนัง
ซึ่งด้วยความโชคร้ายนั้น ทำให้เกิดการทำลายของไขมันใต้ผิวหนัง ผังผืดและกล้ามเนื้อ อย่างรุนแรง และอันตรายถึงชีวิตได้หากรักษาไม่ทันครับ
ชายคนที่เสียชีวิตบนรถทัวร์โดยสารนี้ ก็น่าจะไปติดเชื้อมาจากอุบัติเหตในอดีตครับ .. อ่านรายละเอียดของข่าว และความรู้เกี่ยวกับ "โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน" ได้ในข่าวด้านล่างนี้
-----------------------------------
(ข่าว) จากกรณีชายวัย 38 ปี ที่เสียชีวิตปริศนาบนรถทัวร์โดยสารสาย นครราชสีมา-เชียงใหม่เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารลำปาง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตามความคืบหน้ากรณีดังกล่าวทราบว่า ชายผู้เสียชีวิตอายุ 38 ปี ชื่อนายแบงค์ เป็นชาวลำปาง โดยขณะนี้ศพของ นายแบงค์ ได้ทำการชันสูตรศพและนำออกมาจากโรงพยาบาลลำปางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยทางญาติ ได้นำศพมาตั้งบำเพ็ญกุศลไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง ในเขตเทศบาลนครลำปาง โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า
ต่อมาคุณพุท อายุ 59ปี ผู้เป็นแม่ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า “ได้รับศพ บุตรชาย แล้วรู้สึกเสียใจมาก โดยในใบชันสูตรศพ ระบุว่าติดเชื้อทางกระแสเลือด และทราบมาว่า เป็นโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน ซึ่งตนเองก็มีบุตรชายอันเป็นที่รักเพียงคนเดียว แบงค์ ไปเร็วมากทำใจไม่ได้ และไม่คาดคิดว่า จะมาเกิดกับบุตรชายตน และยังติดใจในสาเหตุการตายอยู่”
ซึ่งทางยายของแบงค์ คือนาง สม ก็เปิดเผยว่า เมื่อประมาณวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา นายแบงค์เคยไปปฏิบัติธรรมที่อำเภอเถินจังหวัดลำปาง และขับมอเตอร์ไซค์กลับมาในตัวเมืองลำปาง ระหว่างนั้นประสบอุบัติเหตุ รถแฉลบ นายแบงค์ มีบาดแผลถลอกตามร่างกายและ มีการเย็บที่ ต้นแขนหลายสิบเข็ม ก็ไม่แน่ใจว่าหลังจากนั้นมา จะไปติดเชื้อเข้ามาตามบาดแผลต่างๆหรือไม่
และคุณแม่ก็ยังบอกว่าที่ผ่านมาประมาณเดือน มีนาคม 2568 แบงค์นั้นเคยมีอาการปวดหัว ไปตรวจ จึงพบว่าติดเชื้อโรคงูสวัด แก้วหูทะลุ และปากเบี้ยว รักษาอาการมา 2 เดือน จึงหายดี ซึ่งทำให้ แบงค์ นั้นปวดหู และหูอื้อในช่วงนั้น แต่คุณแม่ยืนยันว่าที่ผ่านมา ก็รักษาแผลหายแล้วและก็ยังไม่เชื่อว่า ลูกจะมาติดเชื้อจากโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน จนเป็นสาเหตุดังกล่าวอีก
อย่างไรก็ตาม คุณแม่บอกว่า บุตรชายนั้นเดินทางไป จ.นครราชสีมา วันที่ 7 มิถุนายน 68 เพื่อจะไปสมัครบวชพระ และจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2568 ซึ่งเดินทาง กลับลำปาง และถึงกลางดึก 15 มิถุนายนที่ผ่านมา ส่วนคุณแม่ติดใจ บาดแผลของลูกว่าทำไม ขาของลูกนั้น บวมรวดเร็วผิดปกติ ซึ่งคุณแม่ ก็ติดใจบริเวณ ขาด้านซ้ายที่มีรอยฟกช้ำและมีเลือดไหลออกมา ก็ยังไม่แน่ใจว่า จะเป็นโรคแบคทีเรียกินเนื้อคนตาม ที่ แพทยระบุมาหรือไม่ แม่แบงค์กล่าว
โรคเนื้อเน่า (Necrotizing fasciitis) หรือโรคแบคทีเรียกินเนื้อ (Flesh-eating Disease) เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรงในผิวหนังชั้นลึกตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ ชั้นไขมัน ไปจนถึงชั้นเนื้อเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ หรืออธิบายได้ง่าย ๆ ว่าหากติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อแล้ว เจ้าแบคทีเรียดังกล่าวจะทำให้เซลล์ผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อตายทั้งหมด และอาจจะลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ด้วย
สาเหตุของโรคเนื้อเน่าหรือโรคแบคทีเรียกินเนื้อ อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดเดียวหรือหลายชนิดรวมกัน โดยเชื้อแบคทีเรียก่อโรคมี ดังนี้
– เชื้อสเตร็ปโตค็อกคัส กลุ่ม A (Group A streptococci)
– เชื้อเคล็บเซลลา (Klebsiella)
– เชื้อคลอสตริเดียม (Clostridium)
– เชื้ออีโคไล (E. coli)
– เชื้อสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus)
– แอโรโมแนส ไฮโดรฟิลา (Aeromonas hydrophila)
– เชื้อวิบริโอ (Vibrio)
ทั้งนี้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุสำคัญคือเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัส กลุ่ม A (Group A streptococci) และเชื้อที่มีความรุนแรงคือเชื้อแอโรโมแนส ไฮโดรฟิลา (Aeromonas hydrophila) และเชื้อวิบริโอ (Vibrio) ทว่าเชื้อวิบริโอจะพบได้ไม่บ่อยนัก
แบคทีเรียกินเนื้อ ติดเชื้อจากไหนได้บ้าง?
เชื้อแบคทีเรียมีอยู่มากหน้าหลายตาด้วยกัน และเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อก็มักจะแอบซ่อนอยู่ตามนี้
– วัสดุที่สกปรก เช่น ตะปู หนาม ไม้ที่อยู่ในน้ำ
– แผลสัตว์กัด ข่วน แล้วไม่ทำความสะอาดให้ดี จนเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อมีโอกาสเติบโต
– การรับประทานอาหารทะเลไม่สุก ซึ่งอาจเสี่ยงได้รับเชื้อวิบริโอได้
– การทำแผลด้วยอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด เช่น การใช้เข็มบ่งตุ่มน้ำใส ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เชื้อแบคทีเรียหลายชนิดเติบโตบนแผลได้
อย่างไรก็ตาม เราอาจเจอเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อในลักษณะอื่น ๆ หรือกิจกรรมอื่น ๆ ได้อีก เพราะเชื้อแบคทีเรียมีอยู่หลายที่ และมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ดังนั้นโอกาสในการเจอเชื้อแบคทีเรียและสัมผัสมันก็มีมากขึ้นไปด้วยนั่นเอง
หากมีแผล ไม่ว่าจะเป็นแผลจากตะปูตำ มีดบาด มดกัด แมวข่วน แผลที่เกิดจากอะไรก็ได้ ก็ไม่ควรให้บาดแผลที่เป็นอยู่สัมผัสกับสิ่งสกปรกใด ๆ
– ควรทำแผลให้ถูกวิธี โดยล้างแผลด้วยน้ำสะอาด พร้อมกับสบู่ หรือแอลกอฮอล์ 70% เช็ดรอบ ๆ แผล จากนั้นใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดน ไอโอดีน โดยไม่ควรทายาที่แผลหรือโรยผงยาที่แผลโดยตรง จากนั้นควรปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ยาหรือผ้าก๊อซ
– เป็นแผล ควรปิดพลาสเตอร์หรือไม่ ไขข้อข้องใจเพื่อความปลอดภัย ไม่ติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อ
– หากเป็นแผลควรสังเกตแผลว่ามีอาการบวม แดง หรือมีอาการปวดแผลมาก ๆ และเป็นไข้ร่วมด้วยหรือไม่ หากมีอาการดังกล่าวควรรีบพบแพทย์ทันที
– หากอยู่ในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ให้ใส่รองเท้าบูทยาว ป้องกันถูกของมีคมทิ่มแทงที่เท้า และป้องกันบาดแผลที่ขา ถ้ามีบาดแผลให้หลีกเลี่ยงการลุยน้ำ
– ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี หมั่นออกกำลังกาย กินอาหารปรุงสุกใหม่ และพักผ่อนให้เพียงพอ
– กินอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไข่ ปลา เนื้อสัตว์ต่าง ๆ และผักผลไม้ เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
– ในกรณีที่มีภูมิต้านทานต่ำ รับประทานยากดภูมิต้านทาน หรือเป็นโรคเรื้อรัง แล้วเป็นแผล ควรให้แพทย์หรือพยาบาลดูแลแผลให้
– ไม่ควรซื้อยาชุด ยาลูกกลอน หรือยาแก้ปวดเมื่อยมากินเอง เนื่องจากยาดังกล่าวอาจมีสเตียรอยด์ปนอยู่ ซึ่งจะกดภูมิต้านทานของร่างกาย และเป็นอันตรายได้
แม้จะพบโรคแบคทีเรียกินเนื้อคนได้ไม่บ่อย แต่เราก็ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท โดยเฉพาะถ้าเป็นแผล ควรดูแลล้างแผลให้ถูกวิธี ซึ่งก็จะเป็นการป้องกันเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อได้อีกทางหนึ่ง
“แบคทีเรียกินเนื้อคน” ติดต่อจากคนสู่คนได้ไหม?
ส่วนใหญ่ “ไม่ติดต่อจากคนสู่คนได้ง่าย” แต่ในบางกรณี เชื้อรุนแรง เช่น Streptococcus กลุ่ม A อาจแพร่ผ่านของเหลวจากแผล หากอีกฝ่าย มีแผลเปิด ก็มีความเสี่ยง
แต่อย่าตกใจ! ส่วนใหญ่คนติดเชื้อเพราะ
มีแผลแล้วไปสัมผัสดิน น้ำทะเล น้ำจืด หรือของมีคมที่มีเชื้อ
ไม่ใช่เพราะสัมผัสคนอื่นทั่วไป
ป้องกันง่าย ๆ
– ล้างแผลให้สะอาดเสมอ
– อย่าลงน้ำหากมีแผล
– ถ้าต้องดูแลผู้ป่วย ควรใส่ถุงมือ และล้างมือทันทีหลังสัมผัส
ถ้ามีอาการแผลบวม ปวดรุนแรงผิดปกติ รีบพบแพทย์ด่วน
เพราะโรคนี้ลุกลามเร็ว และอันตรายถึงชีวิตในเวลาไม่กี่วัน